เลข 0
ข้อดี :เป็นคนมีจินตนาการกว้างไกล ชอบการคิดค้น
ข้อเสีย:ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยอยู่
เลข 1
ข้อดี :เป็นคนรักศักดิ์ศรี โกรธง่ายหายเร็ว ใจคอกว้างขวาง
ข้อเสีย:ใจร้อนขาดความรอบคอบ
เลข 2
ข้อดี :มีความละเอียดละออ
ข้อเสีย:เอาแต่ใจตัวเอง
เลข 3
ข้อดี :เป็นคนกล้าคิดกล้าทำ มีความขยัน
ข้อเสีย:ไม่เกรงใจใคร ใจร้อนวู่วาม
เลข 4
ข้อดี :เป็นคนที่มีศิลปะในการพูดการเขียนหรือการแสดงออก ชอบการท่องเที่ยว
ข้อเสีย:จิตใจไม่แน่นอน
เลข 5
ข้อดี :เป็นคนรักความยุติธรรม ชอบการช่วยเหลือคน รักสงบ
ข้อเสีย:ช่วยคนอื่นจนตัวเองลำบาก
เลข 6
ข้อดี :เป็นคนฉลาดในการใช้และการหาเงิน รักสวยรักงามมักโชคดีทางการเงินและความรัก
ข้อเสีย:ตามใจตนเอง สนุกสนานเฮฮามากเกินไป
เลข 7
ข้อดี :เป็นคนอดทน ชอบความเป็นอยู่ เรียบๆ ง่ายๆ ชอบเก็บตัว โกรธไม่เป็น
ข้อเสีย:มักซ่อนอารมณ์ตัวเองไว้
เลข 8
ข้อเสีย:เป็นคนแอะอะโวยวาย ขี้วีน ชอบสนุก หลงอะไรง่ายๆแล้วเลิกรายาก
เลข9
ข้อดี :เป็นคนที่มีโชคหรือจังหวะชีวิตฟลุ๊คหลายๆครั้ง ถ้าหากสนใจในศาสนาจะทำให้สงบขึ้น
ข้อเสีย:ไม่มีข้อเสีย
วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552
วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552
ดอกลีลาวดี
ชื่อวิทยาศาสตร์ Plumeria spp.
ตระกูล Apocynaceae
ชื่อสามัญ Frangipani,Pagoda,Temple
ถิ่นกำเนิด เม็กซิโกใต้ถึงตอนเหนือทวีปอเมริกาใต้
ลักษณะทั่วไป ลีลาวดี เป็นไม้ยืนต้น มีขนาดจากที่เป็นพุ่มเตี้ยแคระสูงประมาณ0.6 เมตร จนถึงต้นใหญ่มากอาจที่สูงได้ถึง 12 เมตร ลำต้นแผ่กิ่งก้านสาขาและพุ่มใบสวยงาม มีน้ำยางขนสีขาวเป็นพันธุ์ไม้ที่สลัดใบในฤดูแล้งก่อนที่จะผลิดอกผลิใบรุ่นใหม่ชนิดและพันธุ์ที่มีลักษณะดี ต้องมีทรงพุ่มแน่น มีกิ่งก้านสาขามาก ใบดกที่ปลายกิ่ง มีช่อดอกใหญ่ กิ่งที่ยังไม่แก่มีสีเขียวออ่นนุ่ม กิ่งที่แก่มีสีเทามีรอยตะปุ่มตะป่ำ ใบ เป็นใบเดี่ยวมีการเรียงตัวสลับกันและหนาแน่นใกล้ๆปลายกิ่ง มีตั้งแต่สีเขียวอ่อนถึงเขียวเข้ม มีเส้นกลางใบแตกสาขาออกไปคล้ายขนนก ขนาดใบแตกต่างกันตั้งแต่ 5-20 นิ้ว ช่อดอก จะถูกผลิตออกมาจาปลายยอดเหนือใบแต่กก็มีบางชนิดที่ออกช่อดอกระหว่างใบหรือออกดอกใต้ใบ ช่อดอกบางชนิดตั้งขึ้น บางชนิดห้อยลง ใน 1 ช่อดอกจะมีดอกบานพร้อมกัน 20-30 ดอก บางต้นสมบูรณ์เต็มที่อาจมีดอกมากกว่า 100ดอก ต่อ 1 ช่อ ดอกโดยทั่วไป กลีบดอกมี 5 กลีบ เกสรตัวผู้ เกสรตัวเมีย อยู่ลึกเข้าไปข้างใน ดอกของ ลีลาวดีมีสีสรรหลากหลาย ทั้ง ขาว แดง เหลือง ชมพู ส้ม ม่วง สีทอง มีกลิ่นหอมต่างๆกันไปในแต่ละชนิด ดอกมีขนาด 2 - 6 นิ้ว มีกลิ่นหอม ผล เป็นฝักคู่ รูปยาวรี กว้างประมาณ 1.5 - 15 ซม. เมื่อแก่แตกเป็น 2ซีก เมล็ดมีจำนวนมาก เมล็ดแบนมีปีก ลีลาวดีมีช่วงชีวิตที่ยาวนานนับ 100 ปี
ตระกูล Apocynaceae
ชื่อสามัญ Frangipani,Pagoda,Temple
ถิ่นกำเนิด เม็กซิโกใต้ถึงตอนเหนือทวีปอเมริกาใต้
ลักษณะทั่วไป ลีลาวดี เป็นไม้ยืนต้น มีขนาดจากที่เป็นพุ่มเตี้ยแคระสูงประมาณ0.6 เมตร จนถึงต้นใหญ่มากอาจที่สูงได้ถึง 12 เมตร ลำต้นแผ่กิ่งก้านสาขาและพุ่มใบสวยงาม มีน้ำยางขนสีขาวเป็นพันธุ์ไม้ที่สลัดใบในฤดูแล้งก่อนที่จะผลิดอกผลิใบรุ่นใหม่ชนิดและพันธุ์ที่มีลักษณะดี ต้องมีทรงพุ่มแน่น มีกิ่งก้านสาขามาก ใบดกที่ปลายกิ่ง มีช่อดอกใหญ่ กิ่งที่ยังไม่แก่มีสีเขียวออ่นนุ่ม กิ่งที่แก่มีสีเทามีรอยตะปุ่มตะป่ำ ใบ เป็นใบเดี่ยวมีการเรียงตัวสลับกันและหนาแน่นใกล้ๆปลายกิ่ง มีตั้งแต่สีเขียวอ่อนถึงเขียวเข้ม มีเส้นกลางใบแตกสาขาออกไปคล้ายขนนก ขนาดใบแตกต่างกันตั้งแต่ 5-20 นิ้ว ช่อดอก จะถูกผลิตออกมาจาปลายยอดเหนือใบแต่กก็มีบางชนิดที่ออกช่อดอกระหว่างใบหรือออกดอกใต้ใบ ช่อดอกบางชนิดตั้งขึ้น บางชนิดห้อยลง ใน 1 ช่อดอกจะมีดอกบานพร้อมกัน 20-30 ดอก บางต้นสมบูรณ์เต็มที่อาจมีดอกมากกว่า 100ดอก ต่อ 1 ช่อ ดอกโดยทั่วไป กลีบดอกมี 5 กลีบ เกสรตัวผู้ เกสรตัวเมีย อยู่ลึกเข้าไปข้างใน ดอกของ ลีลาวดีมีสีสรรหลากหลาย ทั้ง ขาว แดง เหลือง ชมพู ส้ม ม่วง สีทอง มีกลิ่นหอมต่างๆกันไปในแต่ละชนิด ดอกมีขนาด 2 - 6 นิ้ว มีกลิ่นหอม ผล เป็นฝักคู่ รูปยาวรี กว้างประมาณ 1.5 - 15 ซม. เมื่อแก่แตกเป็น 2ซีก เมล็ดมีจำนวนมาก เมล็ดแบนมีปีก ลีลาวดีมีช่วงชีวิตที่ยาวนานนับ 100 ปี
วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552
มนุษย์ยุคหิน
เครื่องมือทำด้วยหินมีอายุตั้งแต่250,000-50,000ปีก่อนค.ศ.เป็นเครื่องมือของมนุษย์นีนเดอร์ธัลซึ่งเป็นมนุษย์คล้ายกับปัจจุบันมาก(แต่ก็ไม่ใช่มนุษย์อย่างปัจจุบันที่แท้จริง)
หากว่าเราแบ่งยุคประวัติศาสตร์ของมนุษย์เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่มนุษย์ที่แท้จริงเกิดขึ้น ความชัดเจนจะชัดเจนมากขึ้น เพราะเราจะรู้ได้ทันทีว่า"ยุคหิน"ที่เคยแบ่งไว้ครอบคลุมเวลายาวนานตั้งแต่ยุคหินเก่า ยุคหินกลางและยุคหินใหม่ นับเป็นช่วงเวลาทั้งสิ้นตั้ง2,000,000ปี-10,000ปีก่อนค.ศ.นั้น ความจริงควรเป็นเวลายุคประวัติศาสตร์ของเครื่องมือหินมากกว่าโดยจะอธิบายประกอบด้วยว่าเครื่องมือหินอายุ10,000-2,000,000ปีเป็นเครื่องมือของโฮมินิดพันธุ์หนึ่งเรียกว่าออสตราโลพิธีคัส สัตว์ครึ่งลิงครึ่งมนุษย์ทำไว้ เครื่องมือหินตั้งแต่1,000,000-250,000ปีเป็นเครื่องมือที่โฮมินิดอีกพันธุ์หนึ่งมีรูปร่างเป็นมนุษย์วานรมากกว่าเรียกว่าโฮโมอิเลคตัสทำไว้ ส่วนเครื่องมือทำด้วยหินมีอายุตั้งแต่250,000-50,000ปีก่อนค.ศ.เป็นเครื่องมือของมนุษย์นีนเดอร์ธัลซึ่งเป็นมนุษย์คล้ายกับปัจจุบันมาก(แต่ก็ไม่ใช่มนุษย์อย่างปัจจุบันที่แท้จริง)ได้ทำไว้ เครื่องมือหินอายุตั้งแต่ปี50,000ก่อนค.ศ.จนถึงปัจจุบันจึงจะถือว่าเป็นเครื่องมือหินของมนุษย์ การกำหนดไว้ดังกล่าวจึงเป็นการกำหนดเรื่องราวเกี่ยวกับ"ประวัติศาสตร์เครื่องมือหิน"ตามสภาพความเป็นจริง ไม่ใช่เอามารวมไว้เป็นประวัติศาสตร์ของมนุษย์และกำหนดให้ช่วงเวลาอันยาวนานตั้งแต่2,000,000ปีมาแล้วว่าเป็นช่วงเวลาของมนุษย์ที่รู้จักทำเครื่องมือด้วยหิน ซึ่งความจริงด้พิสูจน์ออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามนุษย์ที่แท้จริงอย่างมนุษย์ที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันเกิดมาเมื่อประมาณ50,000ปีมานี้เอง
หากว่าเราแบ่งยุคประวัติศาสตร์ของมนุษย์เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่มนุษย์ที่แท้จริงเกิดขึ้น ความชัดเจนจะชัดเจนมากขึ้น เพราะเราจะรู้ได้ทันทีว่า"ยุคหิน"ที่เคยแบ่งไว้ครอบคลุมเวลายาวนานตั้งแต่ยุคหินเก่า ยุคหินกลางและยุคหินใหม่ นับเป็นช่วงเวลาทั้งสิ้นตั้ง2,000,000ปี-10,000ปีก่อนค.ศ.นั้น ความจริงควรเป็นเวลายุคประวัติศาสตร์ของเครื่องมือหินมากกว่าโดยจะอธิบายประกอบด้วยว่าเครื่องมือหินอายุ10,000-2,000,000ปีเป็นเครื่องมือของโฮมินิดพันธุ์หนึ่งเรียกว่าออสตราโลพิธีคัส สัตว์ครึ่งลิงครึ่งมนุษย์ทำไว้ เครื่องมือหินตั้งแต่1,000,000-250,000ปีเป็นเครื่องมือที่โฮมินิดอีกพันธุ์หนึ่งมีรูปร่างเป็นมนุษย์วานรมากกว่าเรียกว่าโฮโมอิเลคตัสทำไว้ ส่วนเครื่องมือทำด้วยหินมีอายุตั้งแต่250,000-50,000ปีก่อนค.ศ.เป็นเครื่องมือของมนุษย์นีนเดอร์ธัลซึ่งเป็นมนุษย์คล้ายกับปัจจุบันมาก(แต่ก็ไม่ใช่มนุษย์อย่างปัจจุบันที่แท้จริง)ได้ทำไว้ เครื่องมือหินอายุตั้งแต่ปี50,000ก่อนค.ศ.จนถึงปัจจุบันจึงจะถือว่าเป็นเครื่องมือหินของมนุษย์ การกำหนดไว้ดังกล่าวจึงเป็นการกำหนดเรื่องราวเกี่ยวกับ"ประวัติศาสตร์เครื่องมือหิน"ตามสภาพความเป็นจริง ไม่ใช่เอามารวมไว้เป็นประวัติศาสตร์ของมนุษย์และกำหนดให้ช่วงเวลาอันยาวนานตั้งแต่2,000,000ปีมาแล้วว่าเป็นช่วงเวลาของมนุษย์ที่รู้จักทำเครื่องมือด้วยหิน ซึ่งความจริงด้พิสูจน์ออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามนุษย์ที่แท้จริงอย่างมนุษย์ที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันเกิดมาเมื่อประมาณ50,000ปีมานี้เอง

มนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ใช้หินเป็นเครื่องมือในการล่าสัตว์เพื่อดำรงชีพหรือมนุษย์ยุคหิน (Pre-history) แบ่งออกได้เป็น 3 สมัยโดยใช้ลักษณะของเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำจากหินเป็นหลักดังนี้คือ
1. สมัยหินเก่า (Paleolithic Age or Old Stone Age) อายุประมาณ 500,000-250,000 ปีก่อนคริสต์กาล มนุษย์ยุคนี้ใช้ก้อนหินกรวด ตามธรรมชาติมากะเทาะให้มีแง่คมอย่างหยาบๆ ไม่รู้จักขัดให้เรียบเรียกว่าพวก ฟิงโนเอียน สำหรับใช้เป็นเครื่องสับตัดและเครื่องขุดขนาดใหญ่ ประเภทหนึ่ง อีกประเภทหนึ่งใช้เป็นขวานกำปั้น หรือ มักทำจากหินไดอะเบส, หินชนวน, หินเชิต, หินขวอทไซท์ หินโรโอไลท์ หินปูน กะเทาะอย่างหยาบๆโดยปลายข้างหนึ่งมนปลายข้างหนึ่งแหลมเรียกว่า ไซแอมเมียน พบที่บ้านเก่า อ.เมือง จังหวัดกาญจนบุรี ได้มีการค้นพบหลักฐานของเครื่องมือหินในยุคนี้แต่ไม่ปรากฏว่าพบหลักฐานทางกระดูกของมนุษย์สมัยหินยุคนี้ในประเทศไทยเลย
2. สมัยหินกลาง (Mesolithic Age or Middle Stone Age) อายุประมาณ 45,000-3,500 ปีก่อนคริสต์กาล ใช้เครื่องมือหินกะเทาะมาทำเครื่องมือหินขนาดจิ๋ว บางและเล็กมาก ยาวที่สุดประมาณ 1.50 นิ้ว เรียก Microliths หรือ pigmy-Tools พบที่วังโพธิ์ อ.ไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ได้ค้นพบเครื่องมือหินในยุคหินกลางนี้มากที่ดินแดนแควน้อย พร้อมกับโครงกระดูกของมนุษย์ที่ถ้ำตำบลไทรโยค จึงเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าเคยมีมนุษย์ในยุคหินกลางนี้อาศัยอยู่เป็นเวลากว่า 20,000 ปีมาแล้ว แต่ในบางตำราได้จัดให้มนุษย์หินยุคนี้เป็น “ยุคหินเก่าตอนปลาย” เพราะได้มีการค้นพบเครื่องมือที่ทำด้วยหินในแถบตังเกี๋ยที่เมืองหัวบินห์และกวางบินห์ในประเทศเวียดนาม มีอายุประมาณหนึ่งหมื่นปีเศษๆ โดยเครื่องมือหินที่พบจะมีลักษณะที่ทำอย่างหยาบๆ แลดูคล้ายมีดหินที่มีลักษณะทำเรียบเพียงด้านเดียว มนุษย์หินยุคนี้ยังไม่รู้จักการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ และยังอาศัยกันอยู่ในถ้ำ เชื่อว่าพวกนี้ได้กลายเป็นต้นแบบของพวกที่มีเชื้อสายออสตราลอยด์ เมลานีลอยด์และมองโกลอยด์ในเวลาต่อมา
3. สมัยหินใหม่ (Neolithic Age or New Stone Age) อายุประมาณ 4,500-3,500 ปีก่อนคริสต์กาล มนุษย์ยุคหินใหม่นี้ใช้เครื่องมือหินที่มีรูปร่างเหมือนขวาน มาขัดให้เรียบเรียกทั่วไปว่า "ขวานฟ้า" หรือ เซโรเนีย เป็นขวานหินขัด ทำแบบต่างๆมีทั้งชนิดแบบธรรมดา มีบ่า เป็นจงอยปากนก แบบคมกลม เป็นค้อนหิน ใบหอกหิน จักร กำไลหิน หัวกระบอง ลิ่ม หินบด พบอยู่ในหลายจังหวัดทั่วประเทศไทย โดยเฉพาะพบที่ หมู่บ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรีนั้น พบเครื่องมือหินพร้อมกับโครงกระดูกของมนุษย์สมัยหินใหม่นี้เป็นจำนวนมาก เฉพาะที่ขุดสำรวจมีกว่า 50 โครง ดังนั้นจึงยืนยันได้ว่ามีมนุษย์สมัยหินใหม่ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ประมาณ 3,500 ปีมาแล้ว เราเรียกมนุษย์หินยุคนี้ว่า “ยุควัฒนธรรมบักโซเนียน” เนื่องมาจากชื่อแหล่งที่ค้นพบมนุษย์ยุคนี้เป็นครั้งแรกที่มาจากภูเขาหินบักซอนในตังเกี๋ย
จากการสำรวจพบมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์สมัยต่างๆดังกล่าวนี้ ได้พบเครื่องมือหินหลายชนิด ที่บ่งชี้ว่าเป็นวัฒนธรรมที่รู้จักการใช้หินเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะเป็นมนุษย์ยุคหินที่ใช้ถ้ำตามภุเขาเป็นสุสานสำหรับฝังศพ และยังได้ค้นพบร่องรอยของความเจริญในทางหัตถกรรมสูงมากแล้วด้วย นั่นคือสามารถที่จะเจาะแผ่นหินเป็นรูใหญ่โดยใช้หินกากเพชรและปล้องไม้ไผ่ ทำเลื่อยวงเดือนด้วยหินสำหรับตัดแท่งหินที่กลึงกลมแล้ว สามารถทำเป็นลูกปัดชิ้นเล็กๆใช้เป็นเครื่องประดับ และสามารถใช้หินทำเป็นลูกรอก สำหรับกลึง ทำกำไลหินรูปต่างๆ มีเครื่องปั้นดินเผาหลายแบบหลายชนิดที่ถูกค้นพบ พร้อมทั้งทำแท่งหินที่เคลื่อนหมุนได้อีกด้วยวัฒนธรรมการใช้หินเป็นเครื่องมือเครื่องใช้นี้ มนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทยที่มีอายุเก่าแก่ย้อนไปถึง 20,000-4,000 ปีมาแล้ว อย่างเช่นวัฒนธรรมบ้านเชียงที่แอ่งสกลนคร จังหวัดอุดรธานีนั้น ถือได้ว่าเป็นแหล่งกำเนิดของการปลูกข้าวเมื่อ 5,600 ปีมาแล้ว ครั้นเวลาล่วงเลยไป
1. สมัยหินเก่า (Paleolithic Age or Old Stone Age) อายุประมาณ 500,000-250,000 ปีก่อนคริสต์กาล มนุษย์ยุคนี้ใช้ก้อนหินกรวด ตามธรรมชาติมากะเทาะให้มีแง่คมอย่างหยาบๆ ไม่รู้จักขัดให้เรียบเรียกว่าพวก ฟิงโนเอียน สำหรับใช้เป็นเครื่องสับตัดและเครื่องขุดขนาดใหญ่ ประเภทหนึ่ง อีกประเภทหนึ่งใช้เป็นขวานกำปั้น หรือ มักทำจากหินไดอะเบส, หินชนวน, หินเชิต, หินขวอทไซท์ หินโรโอไลท์ หินปูน กะเทาะอย่างหยาบๆโดยปลายข้างหนึ่งมนปลายข้างหนึ่งแหลมเรียกว่า ไซแอมเมียน พบที่บ้านเก่า อ.เมือง จังหวัดกาญจนบุรี ได้มีการค้นพบหลักฐานของเครื่องมือหินในยุคนี้แต่ไม่ปรากฏว่าพบหลักฐานทางกระดูกของมนุษย์สมัยหินยุคนี้ในประเทศไทยเลย
2. สมัยหินกลาง (Mesolithic Age or Middle Stone Age) อายุประมาณ 45,000-3,500 ปีก่อนคริสต์กาล ใช้เครื่องมือหินกะเทาะมาทำเครื่องมือหินขนาดจิ๋ว บางและเล็กมาก ยาวที่สุดประมาณ 1.50 นิ้ว เรียก Microliths หรือ pigmy-Tools พบที่วังโพธิ์ อ.ไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ได้ค้นพบเครื่องมือหินในยุคหินกลางนี้มากที่ดินแดนแควน้อย พร้อมกับโครงกระดูกของมนุษย์ที่ถ้ำตำบลไทรโยค จึงเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าเคยมีมนุษย์ในยุคหินกลางนี้อาศัยอยู่เป็นเวลากว่า 20,000 ปีมาแล้ว แต่ในบางตำราได้จัดให้มนุษย์หินยุคนี้เป็น “ยุคหินเก่าตอนปลาย” เพราะได้มีการค้นพบเครื่องมือที่ทำด้วยหินในแถบตังเกี๋ยที่เมืองหัวบินห์และกวางบินห์ในประเทศเวียดนาม มีอายุประมาณหนึ่งหมื่นปีเศษๆ โดยเครื่องมือหินที่พบจะมีลักษณะที่ทำอย่างหยาบๆ แลดูคล้ายมีดหินที่มีลักษณะทำเรียบเพียงด้านเดียว มนุษย์หินยุคนี้ยังไม่รู้จักการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ และยังอาศัยกันอยู่ในถ้ำ เชื่อว่าพวกนี้ได้กลายเป็นต้นแบบของพวกที่มีเชื้อสายออสตราลอยด์ เมลานีลอยด์และมองโกลอยด์ในเวลาต่อมา
3. สมัยหินใหม่ (Neolithic Age or New Stone Age) อายุประมาณ 4,500-3,500 ปีก่อนคริสต์กาล มนุษย์ยุคหินใหม่นี้ใช้เครื่องมือหินที่มีรูปร่างเหมือนขวาน มาขัดให้เรียบเรียกทั่วไปว่า "ขวานฟ้า" หรือ เซโรเนีย เป็นขวานหินขัด ทำแบบต่างๆมีทั้งชนิดแบบธรรมดา มีบ่า เป็นจงอยปากนก แบบคมกลม เป็นค้อนหิน ใบหอกหิน จักร กำไลหิน หัวกระบอง ลิ่ม หินบด พบอยู่ในหลายจังหวัดทั่วประเทศไทย โดยเฉพาะพบที่ หมู่บ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรีนั้น พบเครื่องมือหินพร้อมกับโครงกระดูกของมนุษย์สมัยหินใหม่นี้เป็นจำนวนมาก เฉพาะที่ขุดสำรวจมีกว่า 50 โครง ดังนั้นจึงยืนยันได้ว่ามีมนุษย์สมัยหินใหม่ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ประมาณ 3,500 ปีมาแล้ว เราเรียกมนุษย์หินยุคนี้ว่า “ยุควัฒนธรรมบักโซเนียน” เนื่องมาจากชื่อแหล่งที่ค้นพบมนุษย์ยุคนี้เป็นครั้งแรกที่มาจากภูเขาหินบักซอนในตังเกี๋ย
จากการสำรวจพบมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์สมัยต่างๆดังกล่าวนี้ ได้พบเครื่องมือหินหลายชนิด ที่บ่งชี้ว่าเป็นวัฒนธรรมที่รู้จักการใช้หินเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะเป็นมนุษย์ยุคหินที่ใช้ถ้ำตามภุเขาเป็นสุสานสำหรับฝังศพ และยังได้ค้นพบร่องรอยของความเจริญในทางหัตถกรรมสูงมากแล้วด้วย นั่นคือสามารถที่จะเจาะแผ่นหินเป็นรูใหญ่โดยใช้หินกากเพชรและปล้องไม้ไผ่ ทำเลื่อยวงเดือนด้วยหินสำหรับตัดแท่งหินที่กลึงกลมแล้ว สามารถทำเป็นลูกปัดชิ้นเล็กๆใช้เป็นเครื่องประดับ และสามารถใช้หินทำเป็นลูกรอก สำหรับกลึง ทำกำไลหินรูปต่างๆ มีเครื่องปั้นดินเผาหลายแบบหลายชนิดที่ถูกค้นพบ พร้อมทั้งทำแท่งหินที่เคลื่อนหมุนได้อีกด้วยวัฒนธรรมการใช้หินเป็นเครื่องมือเครื่องใช้นี้ มนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทยที่มีอายุเก่าแก่ย้อนไปถึง 20,000-4,000 ปีมาแล้ว อย่างเช่นวัฒนธรรมบ้านเชียงที่แอ่งสกลนคร จังหวัดอุดรธานีนั้น ถือได้ว่าเป็นแหล่งกำเนิดของการปลูกข้าวเมื่อ 5,600 ปีมาแล้ว ครั้นเวลาล่วงเลยไป
ดอก

ดอกไม้มีส่วนประกอบที่สำคัญ 4 ส่วน คือ
1. กลีบเลี้ยง อยู่นอกสุด มีสีเขียว ช่วยหุ้มดอกที่ยังอ่อนอยู่
2. กลีบดอก มักมีสีสวย กลิ่นหอม เพื่อล่อแมลงให้เข้ามาผสมเกสร
3. เกสรตัวผู้ อยู่ต่อจากกลีบดอก ทำหน้าที่สร้างละอองเรณู ประกอบด้วย
ก้านชูอับละอองเรณู
อับละอองเรณู
4. เกสรตัวเมีย อยู่ชั้นในสุด ทำหน้าที่สร้างออวุล ซึ่งเป็นเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย เพื่อใช้ในการผสมพันธุ์ ประกอบด้วย
ยอดเกสรตัวเมีย
ก้านเกสรตัวเมีย
รังไข่ ซึ่งภายในจะมีออวุล
1. กลีบเลี้ยง อยู่นอกสุด มีสีเขียว ช่วยหุ้มดอกที่ยังอ่อนอยู่
2. กลีบดอก มักมีสีสวย กลิ่นหอม เพื่อล่อแมลงให้เข้ามาผสมเกสร
3. เกสรตัวผู้ อยู่ต่อจากกลีบดอก ทำหน้าที่สร้างละอองเรณู ประกอบด้วย
ก้านชูอับละอองเรณู
อับละอองเรณู
4. เกสรตัวเมีย อยู่ชั้นในสุด ทำหน้าที่สร้างออวุล ซึ่งเป็นเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย เพื่อใช้ในการผสมพันธุ์ ประกอบด้วย
ยอดเกสรตัวเมีย
ก้านเกสรตัวเมีย
รังไข่ ซึ่งภายในจะมีออวุล
ใบ
ใบเป็นส่วนของพืชที่งอกออกมาจากลำต้น หรือกิ่ง ใบพืชส่วนใหญ่มักมีสีเขียว เนื่องจากมีสาร “คลอโรฟิลล์ ” แต่บางชนิดก็มีสีีอื่นปนอยู่
หน้าที่ของใบ
1. สร้างอาหารให้พืช การสร้างอาหารของพืช เรียกว่า “ การสังเคราะห์ด้วยแสง”
2. หายใจ พืชใช้แก๊สออกซิเจนในการหายใจ และปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ออกมาทางปากใบ
3. คายน้ำ พืชจะคายน้ำส่วนที่เกินความต้องการออกทางปากใบ การคายน้ำจะช่วยลดความร้อนให้ต้นไม้ด้วย
4. หน้าที่พิเศษอื่นๆ เช่น ดักแมลง (ใบต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง ) ขยายพันธุ์ (ใบของต้นคว่ำตายหงายเป็น)
ใบเป็นส่วนของพืชที่งอกออกมาจากลำต้น หรือกิ่ง ใบพืชส่วนใหญ่มักมีสีเขียว เนื่องจากมีสาร “คลอโรฟิลล์ ” แต่บางชนิดก็มีสีีอื่นปนอยู่
หน้าที่ของใบ
1. สร้างอาหารให้พืช การสร้างอาหารของพืช เรียกว่า “ การสังเคราะห์ด้วยแสง”
2. หายใจ พืชใช้แก๊สออกซิเจนในการหายใจ และปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ออกมาทางปากใบ
3. คายน้ำ พืชจะคายน้ำส่วนที่เกินความต้องการออกทางปากใบ การคายน้ำจะช่วยลดความร้อนให้ต้นไม้ด้วย
4. หน้าที่พิเศษอื่นๆ เช่น ดักแมลง (ใบต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง ) ขยายพันธุ์ (ใบของต้นคว่ำตายหงายเป็น)
วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
ท้าวสุรนารี
นามเดิมคือ โม เกิดเมื่อ พ.ศ.2314 ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นธิดาของนายกิม นางบุญมา เมื่ออายุได้ /25 ปี ได้สมรสกับ พระยาสุริยเดชวิเศษฤทธิ์ทศทิศวิชัย ปลัดเมืองนครราชสีมา เรียกสั้นว่าพระยาปลัด จึงเรียกท่านว่าคุณหญิงโม ตามบรรดาศักดิ์ที่ได้รับ
วีรกรรม
ในแผ่่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าอนุวงศ์ ผู้ครองนครศรีสตานาคนหุต หรือเวียงจันทน์ ซึ่งเวลานั้นขึ้นอยู่กับราชอาณาจักรไทย ได้ก่อการกบฏ ยกทัพเข้ามาในเเขตแดนไทย ยึดหัวเมืองต่าง ๆ มุ่งหน้าเข้าตีกรุงเทพ และได้เข้ายึดเมืองนครราชสีมา ในเวลานั้น เจ้าเมืองนครราชสีมาและพระยาปลัดสามีคุณหญิงโมไม่อยู่ไปราชการที่เมืองอื่น กองทัพของเจ้าอนุวงศ์จึงเข้ายึดเมืองนครราชสีมาและได้กวาดต้อนครอบครัวชายหญิงส่งไปเป็นเชลยที่เมืองเวียงจันทน์ คุณหญิงโมก็ถูกควบคุมตัวไปด้วย แม้ว่าขณะนั้นคุณหญิงโมจะมีอายุล่วงเข้าสู่วัยชราแล้ว แต่ทว่าจิตใจของท่านเข้มแข็ง กล้าหาญ ในระหว่างเดินทางคุณหญิงโมได้คิดอุบายให้ชาวเมืองเชื่อฟังทหารผู้ควบคุม และให้หญิงสาวที่เป็นเชลยพยายามทำดี เอาอกเอาใจทหารเพื่อหวังผลประโยชน์ในภายหลัง และถ่วงเวลาให้เดินทางไปอย่างช้า ๆ เพื่อรอพวกที่ถูกกวาดต้อนจะมาสมทบกันอีกให้มีกำลังเข้มแข็งขึ้น
เมื่อเดินทางมาถึงทุ่งสัมฤทธิ์ ห่างจากนครราชสีมาประมาณ 40 กิโลเมตร ทหารก็ตายใจคิดว่าเชลยชาวเมืองนครราชสีมาไม่มีผิดสงอันใด เพราะส่วนใหญ่เป็นสตรี เด็กและคนชรา คุณหญิงโมได้ออกอุบายขอมีดและปืนมาเพื่อตัดฟืนและยิงสัตว์มาเป็นอาหาร จึงได้ผ่อนปลดให้จอบเสียมมีดพร้าแก่เชลย เพื่อตัดฟืนหุงข้าว ชาวเมืองเมื่อได้มีดมาก็ลอบตัดไม้มาเสี้ยมเป็นหลาว และตะบองสั้น ในค่ำวันนั้นเอง คุณหญิงโมให้สาวเหลือบุตรสาวของหลวงเจริญ ใช้อุบายหญิงสาวมอมเหล้าเพี้ยรามพิชัย และหญิงเชลยสาวคนอื่น ๆ ก็นำสุรามาเลี้ยงดูทหารเวียงจันทน์จนเมา พอตกดึกคุณหญิงโมให้สัญญาณทุกคน ต่างก็จับมีดพร้า จอบเสียม ตามที่จะหาได้เข่นฆ่าทหารเวียงจันทน์ล้มตายเป็นอันมาก สาวเหลือได้แสดงวีรกรรมอันกล้าหาญนำคบเพลิงไปจ่อคลังระเบิด ระเบิดทั้งคลังกระสุนและร่างของสาวเหลือพร้อมทั้่งเพี้ยรามพิชัยด้วย ทหารจึงแตกหนีไม่เป็นขบวน
ในที่สุดชัยชนะก็เป็นของคุณหญิงโม ชาวเมืองที่หลบซ่อนอยู่เมื่อทราบข่าวชัยชนะก็รวมตัวกันมาสมทบด้วย กระทั่งพระปลัดเมืองยกทหารมาสมทบและในที่สุดกองทัพจากกรุงเทพ อันมีสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพย์ เป็นแม่ทัพยกขึ้นไปขับไล่
ครั้นเจ้าอนุวงศ์ทราบข่าวก็ให้ยกกองทหารไปปราบปราม คุณหญิงโมก็รวบรวมชาวเมืองเข้าต่อสู้กับข้าศึก และได้ชัยชนะอีก ข่าวชัยชนะของคุณหญิงโมได้เลื่องลือไปทั่ว ชาวเมืองที่หลบหนีกองทัพเมืองเวียงจันทน์ก็พากันมาสมทบมากขึ้น เจ้าอนุวงศ์ไม่สามารถจะนำกองทัพเข้าปราบปรามได้สำเร็จ พอดีได้ทราบข่าวว่ากองทัพกรุงเทพฯ ยกขึ้นไป จึงรีบเลิกทัพกลับเมืองเวียงจันทน์
ในที่สุดกองทัพไทยก็ยกติดตามไปปราบจับตัวเจ้าอนุวงศ์ได้ นำตัวมาขังไว้ที่กรุงเทพและถึงแก่อนิจกรรมในที่สุด
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าสถาปนาคุณหญิงโมขึ้นเป็น ท้าวสุรนารี
วีรกรรม
ในแผ่่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าอนุวงศ์ ผู้ครองนครศรีสตานาคนหุต หรือเวียงจันทน์ ซึ่งเวลานั้นขึ้นอยู่กับราชอาณาจักรไทย ได้ก่อการกบฏ ยกทัพเข้ามาในเเขตแดนไทย ยึดหัวเมืองต่าง ๆ มุ่งหน้าเข้าตีกรุงเทพ และได้เข้ายึดเมืองนครราชสีมา ในเวลานั้น เจ้าเมืองนครราชสีมาและพระยาปลัดสามีคุณหญิงโมไม่อยู่ไปราชการที่เมืองอื่น กองทัพของเจ้าอนุวงศ์จึงเข้ายึดเมืองนครราชสีมาและได้กวาดต้อนครอบครัวชายหญิงส่งไปเป็นเชลยที่เมืองเวียงจันทน์ คุณหญิงโมก็ถูกควบคุมตัวไปด้วย แม้ว่าขณะนั้นคุณหญิงโมจะมีอายุล่วงเข้าสู่วัยชราแล้ว แต่ทว่าจิตใจของท่านเข้มแข็ง กล้าหาญ ในระหว่างเดินทางคุณหญิงโมได้คิดอุบายให้ชาวเมืองเชื่อฟังทหารผู้ควบคุม และให้หญิงสาวที่เป็นเชลยพยายามทำดี เอาอกเอาใจทหารเพื่อหวังผลประโยชน์ในภายหลัง และถ่วงเวลาให้เดินทางไปอย่างช้า ๆ เพื่อรอพวกที่ถูกกวาดต้อนจะมาสมทบกันอีกให้มีกำลังเข้มแข็งขึ้น
เมื่อเดินทางมาถึงทุ่งสัมฤทธิ์ ห่างจากนครราชสีมาประมาณ 40 กิโลเมตร ทหารก็ตายใจคิดว่าเชลยชาวเมืองนครราชสีมาไม่มีผิดสงอันใด เพราะส่วนใหญ่เป็นสตรี เด็กและคนชรา คุณหญิงโมได้ออกอุบายขอมีดและปืนมาเพื่อตัดฟืนและยิงสัตว์มาเป็นอาหาร จึงได้ผ่อนปลดให้จอบเสียมมีดพร้าแก่เชลย เพื่อตัดฟืนหุงข้าว ชาวเมืองเมื่อได้มีดมาก็ลอบตัดไม้มาเสี้ยมเป็นหลาว และตะบองสั้น ในค่ำวันนั้นเอง คุณหญิงโมให้สาวเหลือบุตรสาวของหลวงเจริญ ใช้อุบายหญิงสาวมอมเหล้าเพี้ยรามพิชัย และหญิงเชลยสาวคนอื่น ๆ ก็นำสุรามาเลี้ยงดูทหารเวียงจันทน์จนเมา พอตกดึกคุณหญิงโมให้สัญญาณทุกคน ต่างก็จับมีดพร้า จอบเสียม ตามที่จะหาได้เข่นฆ่าทหารเวียงจันทน์ล้มตายเป็นอันมาก สาวเหลือได้แสดงวีรกรรมอันกล้าหาญนำคบเพลิงไปจ่อคลังระเบิด ระเบิดทั้งคลังกระสุนและร่างของสาวเหลือพร้อมทั้่งเพี้ยรามพิชัยด้วย ทหารจึงแตกหนีไม่เป็นขบวน
ในที่สุดชัยชนะก็เป็นของคุณหญิงโม ชาวเมืองที่หลบซ่อนอยู่เมื่อทราบข่าวชัยชนะก็รวมตัวกันมาสมทบด้วย กระทั่งพระปลัดเมืองยกทหารมาสมทบและในที่สุดกองทัพจากกรุงเทพ อันมีสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพย์ เป็นแม่ทัพยกขึ้นไปขับไล่
ครั้นเจ้าอนุวงศ์ทราบข่าวก็ให้ยกกองทหารไปปราบปราม คุณหญิงโมก็รวบรวมชาวเมืองเข้าต่อสู้กับข้าศึก และได้ชัยชนะอีก ข่าวชัยชนะของคุณหญิงโมได้เลื่องลือไปทั่ว ชาวเมืองที่หลบหนีกองทัพเมืองเวียงจันทน์ก็พากันมาสมทบมากขึ้น เจ้าอนุวงศ์ไม่สามารถจะนำกองทัพเข้าปราบปรามได้สำเร็จ พอดีได้ทราบข่าวว่ากองทัพกรุงเทพฯ ยกขึ้นไป จึงรีบเลิกทัพกลับเมืองเวียงจันทน์
ในที่สุดกองทัพไทยก็ยกติดตามไปปราบจับตัวเจ้าอนุวงศ์ได้ นำตัวมาขังไว้ที่กรุงเทพและถึงแก่อนิจกรรมในที่สุด
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าสถาปนาคุณหญิงโมขึ้นเป็น ท้าวสุรนารี
วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2552
ยาหม่องสายรุ้ง
สารที่ใช้
2 ขี้ผึ้งพารัฟฟิน 50 กรัม
3 น้ำมันระกำ 250 กรัม
4 เมนทอล 50 กรัม
5 การะบูร 20 กรัม
6 ยูคาลิปตัส 75 กรัม
7 สีละลายน้ำมัน 3 สี
8 ขวด
1 วาสลินขาว 246 กรัม
3 น้ำมันระกำ 250 กรัม
4 เมนทอล 50 กรัม
5 การะบูร 20 กรัม
6 ยูคาลิปตัส 75 กรัม
7 สีละลายน้ำมัน 3 สี
8 ขวด
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2552
วิทยาศาสตร์ ตอน 3 ยาดมกลิ่นวาเป็กซ์
สารที่ใช้
1 เมนทอล 35 กรัม
2 การะบูร 10 กรัม
3 ยูคาลิปตัส 5 cc
4 หัวน้ำหอมกลิ่นวาเป็กซ์ 25 cc
5 ไส้ยาดม
6 ปลอกยาดม
วิธีผสม
1 เท เมนทอล การะบูร ยูคาลิปตัสและกลิ่นวาเป็กซ์ ลงในปีกเกอร์ 100 cc คนให้ละลาย
2 ตัดไส้ยาดมออกเป็นเส้นๆละ 4 ท่อนจุ่มยาดมใส่ในข้อประมาณครึ่งไส้แล้วบรรจุลงหลอด
1 เมนทอล 35 กรัม
2 การะบูร 10 กรัม
3 ยูคาลิปตัส 5 cc
4 หัวน้ำหอมกลิ่นวาเป็กซ์ 25 cc
5 ไส้ยาดม
6 ปลอกยาดม
วิธีผสม
1 เท เมนทอล การะบูร ยูคาลิปตัสและกลิ่นวาเป็กซ์ ลงในปีกเกอร์ 100 cc คนให้ละลาย
2 ตัดไส้ยาดมออกเป็นเส้นๆละ 4 ท่อนจุ่มยาดมใส่ในข้อประมาณครึ่งไส้แล้วบรรจุลงหลอด
วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2552
วิทยาศาสตร์ ตอน 2 น้ำยาล้างจาน
น้ำยาล้างจานกลิ่นมะนาว
1 น้ำยาล้างจาน 1 000 กรัม
2 Bronidox-L 5 cc
3 หัวน้ำหอมกลิ่นมะนาว 25 cc
4 น้ำสะอาด 3000 cc
วิธีผสม
1 เทน้ำยาล้างจานบรรจุลงในภาชนะที่จุเกิน 5000 cc.
2.เติมน้ำสะอาดแล้วคนให้จนถึงก้นภาชนะใช้เวลาประมาณ 30 นาที
3.เติม Bronidox-L และหัวน้ำหอมคนต่อประมาณ 15 นาที เวลาคนต้องคนไปทางเดียวกัน
4.ทิ้งไว้ให้หมดฟองแล้วใจขวดปิดฝาให้แน่น
5.ถ้าคนไม่เป็นเนื้อเดียวกันจะแยกเป็นชั้น ๆ
1 น้ำยาล้างจาน 1 000 กรัม
2 Bronidox-L 5 cc
3 หัวน้ำหอมกลิ่นมะนาว 25 cc
4 น้ำสะอาด 3000 cc
วิธีผสม
1 เทน้ำยาล้างจานบรรจุลงในภาชนะที่จุเกิน 5000 cc.
2.เติมน้ำสะอาดแล้วคนให้จนถึงก้นภาชนะใช้เวลาประมาณ 30 นาที
3.เติม Bronidox-L และหัวน้ำหอมคนต่อประมาณ 15 นาที เวลาคนต้องคนไปทางเดียวกัน
4.ทิ้งไว้ให้หมดฟองแล้วใจขวดปิดฝาให้แน่น
5.ถ้าคนไม่เป็นเนื้อเดียวกันจะแยกเป็นชั้น ๆ
วันศุกร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2552
วิทยาศาสตร์ ตอน1 น้ำอบไทย

น้ำอบไทยประยุกต์
1 ชะลูด 25 กรัม
2 พิมเสน 8 กรัม
3 แป้งกะแจะ 1 ก้อน
4 ดินสอพอง 1 ก้อน
5 ไฮซิน 14 cc
6 เอทีลแอลกอฮอล์ 95 % 2 cc
7 น้ำมันจันทน์ 5 cc
8 หัวน้ำหอมกลิ่นลำเจียก 5 cc
9 หัวน้ำหอมกลิ่นกุหลาบ 5 cc
10หัวน้ำหอมกลิ่นกระดังงา 5 cc
11 น้ำกลั่น 1100 cc
1 ชะลูด 25 กรัม
2 พิมเสน 8 กรัม
3 แป้งกะแจะ 1 ก้อน
4 ดินสอพอง 1 ก้อน
5 ไฮซิน 14 cc
6 เอทีลแอลกอฮอล์ 95 % 2 cc
7 น้ำมันจันทน์ 5 cc
8 หัวน้ำหอมกลิ่นลำเจียก 5 cc
9 หัวน้ำหอมกลิ่นกุหลาบ 5 cc
10หัวน้ำหอมกลิ่นกระดังงา 5 cc
11 น้ำกลั่น 1100 cc
วิธีผสม
1 .ต้มชะลูดกับน้ำกลั่น 1100 cc ให้เดือด ทิ้งให้เย็นแล้วกรอง
2. บดพิมเสน แป้งกะแจะ ดินสอพองให้ละเอียดรวมกัน
3. ไฮซินผสมกับเอทิลแอลกอฮอล์ 95% เขย่าหรือคนให้เข้ากัน แล้วเติมน้ำมันจันทน์ หัวน้ำหอมกลิ่นลำเจียก หัวน้ำหอมกลิ่นกุหลาบ หัวน้ำหอมกลิ่นกระดังงา คนให้เข้ากัน
4. ค่อย ๆ เติมข้อ 2 ลงในข้อ 3 คนให้เข้ากัน
5. เอาข้อ 4 ค่อยๆเติมลงในข้อ 1 ครั้งละประมาณ 5 cc คนให้เข้ากัน ทำเช่นนี้จนหมด แล้วคนต่อประมาณ 15-30 นาที เทใส่ขวด
วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2552
พ่อขุนรามคำแหง
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 3 ในราชวงศ์พระร่วงแห่งราชอาณาจักรสุโขทัย เสวยราชย์ประมาณ พ.ศ. 1822 ถึงประมาณ พ.ศ. 1841 พระองค์ทรงรวบรวมอาณาจักรไทยจนเป็นปึกแผ่นกว้างขวาง ทั้งยังได้ทรงประดิษฐ์ตัวอักษรไทยขึ้น ทำให้ชาติไทยได้สะสมความรู้ทางศิลปะ วัฒนธรรม และวิชาการต่าง ๆ สืบทอดกันมากว่าเจ็ดร้อยปี
การบริหารรัฐกิจ เมื่อพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ทรงขจัดอิทธิพลของเขมรออกไปจากกรุงสุโขทัยได้ในปลายพุทธศตวรรษที่ 18 การปกครองของกษัตริย์สุโขทัยได้ใช้ระบบปิตุราชาธิปไตยหรือ "พ่อปกครองลูก"
การบริหารรัฐกิจ เมื่อพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ทรงขจัดอิทธิพลของเขมรออกไปจากกรุงสุโขทัยได้ในปลายพุทธศตวรรษที่ 18 การปกครองของกษัตริย์สุโขทัยได้ใช้ระบบปิตุราชาธิปไตยหรือ "พ่อปกครองลูก"
วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2552
แปลกแต่จริง ตอนที่ 2 หญิงสาวอาบเลือด
ช่วงปลายศตวรรษที่ 16 มีเคาน์เตสผู้หนึ่งซึ่งเล่าลือกันว่า เป็นหญิงงามที่หาใครเทียบได้ยากชื่อว่า เอลิซาเบท เธอเกิดในครอบครัวขุนนางชั้นสูง ได้รับการศึกษาที่ดี เมื่อเข้าสู่วัยสาว เธอได้แต่งงานกับท่านเคาน์ผู้หนึ่ง เมื่อท่านเคาน์ไม่อยู่เธอจะลักลอบคบหากับผู้ชายผู้หนึ่งซึ่งมีพฤติกรรมแปลก ๆ เชื่อว่าเขาเป็นผีดูดเลือด ครั้งหนึ่งสาวใช้ของเคาน์เตสทำงานผิดพลาด ทำให้เธอโมโหมากจึงลงโทษสาวใช้จนเลือดออก เคาน์เตสได้นำเลือดนั้นมาทาตัวจากนั้นพฤติกรรมของเธอก็เปลี่ยนไป เคาน์เตสได้สั่งให้สังหารหญิงชาวบ้านในละแวกนั้นรวมถึงสาวใช้เพื่อนำเลือดมาอาบโดยเชื่อว่าเลือดจะทำให้ไม่แก่ และยังสวยตลอดไป ชาวบ้านต่างหวาดกลัวจึงไปร้องเรียนกับพระราชา จึงสั่งให้มีการสอบสวนจากการเข้าไปค้นในบริเวณปราสาท ก็พบโครงกระดูกมากกว่า 50 โครง มีศพของหญิงสาวไม่ต่ำกว่า 50 ศพ เคาน์เตสโดนจับเข้าคุกถูกขังนานกว่า 4 ปี
เพิ่มเติม
ผีดูดเลือดคืออะไรกันแน่ ชาวยุโรปเชื่อว่าผีดูดเลือดคือคนที่ตายไปแล้วแต่วิญญาณไม่ได้ไปเกิดใหม่ เนื่องจากเคยฆ่าตัวตายหรือทำเรื่องไม่ดีเอาไว้ ผีดูดเลือดจะนอนตอนกลางวันในโลงศพโดยไม่หลับตา และเมื่อดวงอาทิตย์ตกดินก็จะออกจากโลงมาหาอาหารซึ่งก็คือเลือดสด ๆ ผีดูดเลือดไม่มีเงาในกระจกแต่สามารถแปลงร่างเป็นม้า แพะ งู หรือค้างคาวได้ วิธีป้องกันผีดูดเลือดคือแขวนไม้กางเขนหรือกระเทียมเอาไว้
เพิ่มเติม
ผีดูดเลือดคืออะไรกันแน่ ชาวยุโรปเชื่อว่าผีดูดเลือดคือคนที่ตายไปแล้วแต่วิญญาณไม่ได้ไปเกิดใหม่ เนื่องจากเคยฆ่าตัวตายหรือทำเรื่องไม่ดีเอาไว้ ผีดูดเลือดจะนอนตอนกลางวันในโลงศพโดยไม่หลับตา และเมื่อดวงอาทิตย์ตกดินก็จะออกจากโลงมาหาอาหารซึ่งก็คือเลือดสด ๆ ผีดูดเลือดไม่มีเงาในกระจกแต่สามารถแปลงร่างเป็นม้า แพะ งู หรือค้างคาวได้ วิธีป้องกันผีดูดเลือดคือแขวนไม้กางเขนหรือกระเทียมเอาไว้
วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2552
แปลกแต่จริง ตอนที่ 1 ตุตันคามุน ผู้หลับไหลภายใต้คำสาปมรณะ
ตุตันคามุน ฟาโรห์องค์ที่ 18 ของอียิปต์ ทรงครองราชย์ระหว่าง 1334 -1325 ก่อนคริสตศักราช
ตุตันคามุนทรงสิ้นพระชนม์ด้วยอายุเพียง 19 พรรษา หลังจากสิ้นพระชนม์พระนามของพระองค์ก็ถูกลบออกจากรายนามฟาโรห์และราชวงศ์ พีระมิดของพระองค์ก็ไม่ถูกจารึกว่าเป็นพีระมิดของฟาโรห์ นั่นเป็นสาเหตุให้พีระมิดของตุตันคามุนสามารถเก็บรักษาทองคำและสมบัติมากมายไว้ได้นานกว่าสามพันปี จนกระทั่งปี ค.ศ. 1922 คาร์เตอร์และลอร์ดคาร์นาร์วอนค้นพบสุสานนี้และพบว่าภายในสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เคยพบมา แต่มีสิ่งหนึ่งที่ถูกกล่าวขานไม่แพ้ความสมบูรณ์ของพีระมิดนั่นคือคำสาปฟาโรห์ซึ่งเชื่อกันว่านักบวชอียิปต์โบราณเป็นผู้สลักไว้ที่สุสานตุตันคามุน ข้อความนั้นคือ "มรณะจักโบยบินมาสังหารผู้บังอาจรังควาญสันติสุขแห่งองค์ฟาโรห์" หลังจากมีผู้บุกรุกและรบกวนการหลับไหลของตุตันคามุนคำสาปก็เริ่มสัมฤทธิ์ผลผู้ที่เกี่ยวข้องล้วนตายอย่างพิศวง หลังจากพิธีเปิดสุสานผู้ร่วมพิธีเสียชีวิตไป 22 คน ลอร์ดคาร์นาร์วอนเสียชีวิตเนื่่องจากถูกยุงกัดที่แก้ม รอยที่ยุงกัดนั้นคล้ายสัญลักษณ์บนพระพักตร์ของมัมมี่ แม้แต่ผู้เกี่ยวข้องกับการขนย้ายพระศพก็โดนคำสาปด้วย เรื่องเหล่านี้ล้วนตอกย้ำความน่าสะพรึงกลัวของคำสาปฟาโรห์
ตุตันคามุนทรงสิ้นพระชนม์ด้วยอายุเพียง 19 พรรษา หลังจากสิ้นพระชนม์พระนามของพระองค์ก็ถูกลบออกจากรายนามฟาโรห์และราชวงศ์ พีระมิดของพระองค์ก็ไม่ถูกจารึกว่าเป็นพีระมิดของฟาโรห์ นั่นเป็นสาเหตุให้พีระมิดของตุตันคามุนสามารถเก็บรักษาทองคำและสมบัติมากมายไว้ได้นานกว่าสามพันปี จนกระทั่งปี ค.ศ. 1922 คาร์เตอร์และลอร์ดคาร์นาร์วอนค้นพบสุสานนี้และพบว่าภายในสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เคยพบมา แต่มีสิ่งหนึ่งที่ถูกกล่าวขานไม่แพ้ความสมบูรณ์ของพีระมิดนั่นคือคำสาปฟาโรห์ซึ่งเชื่อกันว่านักบวชอียิปต์โบราณเป็นผู้สลักไว้ที่สุสานตุตันคามุน ข้อความนั้นคือ "มรณะจักโบยบินมาสังหารผู้บังอาจรังควาญสันติสุขแห่งองค์ฟาโรห์" หลังจากมีผู้บุกรุกและรบกวนการหลับไหลของตุตันคามุนคำสาปก็เริ่มสัมฤทธิ์ผลผู้ที่เกี่ยวข้องล้วนตายอย่างพิศวง หลังจากพิธีเปิดสุสานผู้ร่วมพิธีเสียชีวิตไป 22 คน ลอร์ดคาร์นาร์วอนเสียชีวิตเนื่่องจากถูกยุงกัดที่แก้ม รอยที่ยุงกัดนั้นคล้ายสัญลักษณ์บนพระพักตร์ของมัมมี่ แม้แต่ผู้เกี่ยวข้องกับการขนย้ายพระศพก็โดนคำสาปด้วย เรื่องเหล่านี้ล้วนตอกย้ำความน่าสะพรึงกลัวของคำสาปฟาโรห์
เกร็ดความรู้จากการ์ตูนล่าขุมทรัพย์ในจีน
ประเทศจีน
จีนเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก มีจำนวนประชากรประมาณ 1,320 ล้านคน เป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาทางสังคมมากมาย จึงเริ่มใช้นโยบายลูกคนเดียว อนุญาตให้สามีภรรยามีลูกได้คนเดียว ถ้าลูกคนแรกเป็นเพศหญิง จะมีสิทธิให้กำเนิดลูกคนที่สองได้
สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้
สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้
เป็นหลุมศพที่ใหญ่ที่สุดในโลก ว่ากันว่าภายในมีการติดตั้งธนูกลเพื่อป้องกันผู้บุกรุกเข้ามาขโมย กองทัพรูปปั้นทหารมีขนาดเท่ากับมนุษย์จริง สร้างขึ้นตามลักษณะใบหน้าของทหารในกองทัพจริง ๆ สุสานแห่งนี้มีขนาดใหญ่มากดังนั้นถ้าคิดขุดทั้งหมดอาจจะต้องใช้เวลาถึง 100 ปี
สถานที่สำคัญในปักกิ่ง
พระราชวังต้องห้าม เดิมถูกใช้เป็นพระราชวังสำหรับกษัตริย์ในสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง ที่นี่ถูกขนานนามว่าเป็นพิพิธภัณฑ์พระราชวัง ภายในมีศิลปะและวัตถุล้ำค่าของจีนเก็บไว้เป็นจำนวนมาก และเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมที่มีความหมายทางประวัติศาสตร์ เช่น กำแพงพระราชวัง กระเบื้องในตัวพระราชวัง การตกแต่งภายใน ล้วนแสดงให้เห็นถึงความงามทางสถาปัตยกรรมที่มีความเป็นหนึ่งเดียวและยิ่งใหญ่มาก
เทียนอันเหมิน อยู่ทางทิศใต้ของพระราชวังต้องห้าม สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง หลังการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี ค.ศ. 1949 ธงห้าดาวของจีนก็ถูกชักขึ้นเสาร์ครั้งแรกที่เทียนอันเหมินแห่งนี้ หลังจากนั้นก็นำภาพเหมือนของประธานาธิบดี เหมาเจ๋อตุงมาแขวนไว้ด้วย เทียนอันเหมินมีความเป็นมาที่ยาวนาน กลายเป็นสถานที่่ที่ผู้คนต่างรู้จักดี

การจราจรในจีน
การขนส่งมวลชนในจีนมีตั้งแต่ เครื่องบิน รถไฟ รถเมล์ รถเแท๊กซี่ ซึ่งในจำนวนนี้รถไฟถือเป็นพาหนะที่ใช้ในการขนส่งที่สำคัญที่สุด รถไฟของจีนมีเครือข่ายทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีรถสามล้อถีบและรถจักรยาน สามล้อถีบนั้นเหมาะสำหรับการเดินทางระยะสั้น หรือนั่งชมวิว (จักรยานเป็นพาหนะที่ใช้กันแพร่หลายในประเทศจีน)
วันอังคารที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)